ทำความเข้าใจและรู้จักกับจักรยาน BMX ว่ามีกี่ประเภท ลักษณะรูปแบบของรถแต่ละประเภท เล่นหรือขี่กันอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจว่าเราควรจะเลือกขี่ประเภทไหนดี
BMX FLATLAND การขี่จักรยานประเภทแฟลตแลนด์ เป็นการขี่จักรยานผาดโผนบนพื้นราบ โดยเน้นการทรงตัวและการเล่นท่าบนจักรยาน เสน่ห์ของการขี่ประเภทนี้อยู่ที่ความต่อเนื่องในการเล่นท่า โดยจะเล่นท่าหนึ่งแล้วจะไปต่ออีกท่าหนึ่งโดยที่เท้าไม่สัมผัสพื้น BMX FLATLAND ได้เข้ามาในบ้านเราเมื่อประมาณ 10กว่าปีที่แล้ว และยังคงเป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้ BMX FLATLAND เป็นกีฬาเอ็กส์ตรีมที่มีความเสี่ยงไม่มาก สามารถที่จะเล่นได้ทุกวัย จะมีเล่นกันเป็นกลุ่มๆตามสวนสาธารณะ ตามลานจอดรถกว้างๆ จะกระจายกันอยู่ในทุกๆจังหวัด โดยจะมีการจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
การ แข่งขันประเภทแฟลตแลนด์จะเป็นการตัดสินจากการให้คะแนน การแข่งก็จะคล้ายๆกับยิมนาสติกลีลา แต่จะเป็นลีลาบนจักรยานBMX โดยมีการแบ่งรุ่นการแข่งขันออกเป็นหลายรุ่นตามระดับฝีมือ ลักษณะการแข่งจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายและความต่อเนื่องของท่าโดยไม่ให้เท้าสัมผัสพื้น หากเท้าสัมผัสพื้นจะถูกหักคะแนนตามความเหมาะสม การแข่งขันอีกแบบหนึ่งคือการแข่งขันแบบตัวต่อตัว ( Battle) คือการออกมาประชันท่ากันแบบตัวต่อตัว หากยังนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงการชกมวย แต่จะใช้การเล่นท่าประชันกัน ซึ่งจะแข่งขัน 3 ยก โดยนักกีฬาจะผลัดกันออกมาแสดงท่าผาดโผน ใน 1 ยกจะเล่นท่าผาดโผนได้คนละหนึ่งชุด (ไม่ได้กำหนดเวลาและความยาวของท่าต่อเนื่องส่วนใหญ่ จะไม่เล่นท่าต่อเนื่องกันยาวมากนักเพื่อป้องกันความผิดพลาด) เมื่อครบ 3 ยก กรรมการจะตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะไป และยังมีการจัดแข่งแยกย่อยออกไปอีกเพื่อให้การจัดแข่งขันนั้นมีความน่าสนใจ และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การแข่ง Best Trick คือการแข่งว่าท่าของใครยากและเจ๋งที่สุดเป็นผู้ชนะ การแข่งขันว่าใครเล่นท่าต่อเนื่องได้มากที่สุด และการแข่งขันว่าใครเล่นท่าได้นานที่สุด เป็นต้น
ลักษณะของ จักรยาน BMX FLATLAND ช่วงของตัวรถจักรยานประเภทนี้จะสั้นกว่ารถประเภทอื่นๆ เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเล่นท่าผาดโผน โครงของรถแฟลตแลนด์จะออกแบบมาให้สะดวกในการเล่นท่าและมีน้ำหนักเบา รูปทรงจะโค้งบ้างเว้าบ้าง ชิ้นส่วนต่างๆก็จะแตกต่างกันกับประเภทอื่นๆ บางท่านที่ยังไม่เคยรู้จักกับBMX ผาดโผนอาจจะยังแยกไม่ออก มองผิวผืนก็จะดูเหมือนๆกันและอาจจะทำให้ท่านเลือกใช้รถผิดประเภทได้ ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป
ทักษะของการขี่จักรยาน BMX FLATLAND โดยหลักๆเลยก็จะเน้นการทรงตัวบนรถจักยานที่เคลื่อนไปเพียงล้อเดียว โดยเท้าของเราจะยื่นอยู่บนที่พักเท้า ( Peg) ที่อยู่ตรงแกนล้อทั้งล้อหน้าและหลัง ทักษะการใช้เท้าไถล้อเพื่อให้รถได้เคลื่อนที่ไป และทักษะการต่อเนื่องของแต่ละท่า การขี่จักรยาน BMX FLATLAND จำเป็นต้องใช้สมาธิ ความพยายาม และความอดทนสักนิดหนึ่งเพราะการฝึกหัดในแต่ละท่าอาจะจะต้องใช้เวลามากพอดู บางท่าอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ แต่บางท่าก็อาจใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความขยันฝึกซ้อมและความอดทน ถ้าหากคุณเป็นคนใจร้อนแล้วละก็ ลองหันมาหัดเล่นจักรยาน BMX FLATLAND ดู มันอาจจะทำให้คุณเป็นคนใจเย็นและมีสมาธิมากขึ้นก็ได้
BMX STREET การขี่จักรยานประเภทสตรีต เป็นการขี่จักรยานผาดโผน โดยอาศัยอุปกรณ์ในการเล่น จะเล่นท่าผาดโผนต่างจากประเภทแฟลตแลนด์ ซึ่งผู้เล่นจะขี่ออกไปเล่นกันตามท้องถนน หรือสวนสาธารณะ อุปกรณ์ที่ใช้เล่นก็มีอยู่ตามท้องถนน เช่น ม้านั้ง ราวบันได ราวเหล็ก ริมฟุตบาท และเนินลาดชันต่างๆเป็นต้น แล้วขี่เล่นท่าผาดโผน ยกล้อ หมุนตัว หรือ ไถลกับราวเหล็ก ลักษณะของจักรยาน BMX STREET ช่วงของรถจักรยานประเภทนี้จะยาวกว่าของประเภทแฟลตแลนด์เล็กน้อย และรูปทรงจะไม่แปลกเหมือนรถจักยานแฟลตแลนด์
ก็เพราะสตรีตไม่ได้ใช้สำหรับ เล่นท่าบนพื้นราบ รูปทรงจึงไม่ออกแบบมาสำหรับเล่นท่าแต่จะเน้นไปในการขี่ และกระโดดซะส่วนใหญ่ ชิ้นส่วนต่างๆ ก็จะแตกต่างกันด้วย
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยาน BMX STREET ที่เน้นๆเลยก็คือ การกระโดด ( Bunny Hop ) การยกล้อหน้า (Manual ) และการไถลบนราว ( Grind) และก็ยังมีท่าที่พลิกแพลงอีกมากมาย สำหรับจักรยาน BMX STREET จะต้องใช้ความกล้าพอควรเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง ผู้เล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง และเมื่อคุณเล่นท่าพื้นฐานของประเภทนี้ได้จนเป็นหมดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ใจคุณแล้วละว่า “กล้าพอหรือเปล่า”ที่จะเล่นท่าผาดโผนกับอุปกรณ์บนท้องถนนเหล่านั้น
BMX PARK เป็นการขี่แบบเดียวกับประเภทสตรีต โดยเล่นกับอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นในรูปแบบสนาม SKATE PARK ซึ่งพัฒนาอุปกรณ์ในการเล่นมาจากอุปกรณ์บนท้องถนน ให้ได้มาตรฐานและมีความน่าเล่นมากยิ่งขึ้นโดยอุปกรณ์ในสนามจะถูกออกแบบและ จัดว่างในตำแหน่งที่เหมาะสม
ในการแข่งขันจักรยาน BMX PARK จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่าและความต่อเนื่องในการเล่นในแต่ละอุปกรณ์ ในการแข่งขัน นักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้โดยไม่ ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่ากับ อุปกรณ์ต่อไป และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นละครับ เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เล่นจากท้องถนน มาเป็นในสนามที่มีความเป็นมาตรฐานเท่านั้นเอง
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยานประเภทนี้ก็ใช้ทักษะเดียวกับประเภทสตรีตนั้นละครับ แต่จะเพิ่มในส่วนของการเล่นท่ากับอุปกรณ์ได้หลากหลาย และท่ากลางอากาศ เพิ่มเข้ามา ถ้าหากมีพื้นฐาน BMX STREET อยู่แล้ว ก็สามารถเล่น BMX PARK ได้อย่างไม่ยากนัก
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
BMX DIRT คือการขี่จักรยานผาดโผนกระโดดเนินดินโดยจะเน้นเล่นท่ากลางอากาศเพียงอย่าง เดียว ลักษณะของสนามจะเป็นเนินดินคล้ายสนาม Motocoss มีเนินสำหรับกระโดดติดต่อกันหลายๆลูก ทำให้การกระโดดเล่นท่าผาดโผนกลางอากาศมีความต่อเนื่องกัน
การแข่งขันในประเภท BMX DIRT จะทำการปล่อยตัวนักกีฬาที่ละคน แล้วให้ทำการกระโดดเนินดินและเล่นท่ากลางอากาศ ให้ครบจำนวนเนินเดินที่กระโดด เนินดินก็จะมีจำนวนที่ไม่มากนัก นักกีฬาคนไหนที่เล่นท่าได้ยากและเจ๋งที่สุดโดยไม่มีขอผิดพลาดเลยก็จะเป็นผู้ ชนะไป
ลักษณะของจักรยาน ก็ใช้แบบเดียวกับ ประเภทสตรีต เพียงแค่เปลี่ยนยางมาใช้เป็นแบบที่มีดอกยางหนาๆ ที่ใช้สำหรับสนามดินแบบMotocoss Pegs (ที่พักเท้า) ออกแค่นั้นเอง
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
BMX VERT เป็นการขี่ผาดโผนโดยต้องใช้อุปกรณ์ในการเล่น โดยอุปกรณ์จะมีลักษณะเป็นท่อครึ่งวงกลม หรือ Half Pipe โดยผู้เล่นจะปั่นแล้วกระโดดขึ้นลงตามความโค้งของ Half Pipe แล้วเมื่อได้ยังหวะก็จะเล่นท่าผาดโผนกลางอากาศ
ในการแข่งขันจักรยาน BMX VERT จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่า ในการแข่งขันนักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้ โดยไม่ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่า กับอุปกรณ์ และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นเอง
ทักษะของกีฬาประเภทนี้ จะใช้ทักษะค่อนข้างยากสักนิดหน่อย เนื่องด้วยอุปกรณ์มีความสูงมาก และมุมในการลอยตัวก็เป็นมุมที่ตั้งฉากกลับพื้นดิน จึงจำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการกระโดดลอยตัวกลับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Quarter Pipe ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ก็จะอยู่ในสนาม SKATE PARK หรือคุณต้องมีทักษะในการเล่น BMX PARK อย่างค่อนข้างชำนาญแล้วนั้นเอง
BMX Racing เป็นการขี่แบบแข่งความเร็วในระยะสั้นๆ รูปแบบลักษณะของสนามแข่งจะออกแบบให้มีทางโค้งสลับกันไป และมีเนินสำหรับกระโดด เช่นเดียวกับสนามของ Motocoss จักรยาน BMX Racing ได้เอามาในบ้านเราเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นที่นิยมมาก แล้วก็ได้เงียบหาไปจากวงการเมื่อช่วง 10ปีที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันนี้ จักรยานBMX racing กำลังกลับมาเป็นที่นิยม เริ่มมีการจัดแข่งขันมากขึ้น คนที่เคยเลิกไป ก็เริ่มจะกลับมาปัดฝุ่นจักรยานคันเก่า หันมาปั่น BMX กันอีกครั้ง
ในการแข่งขันจักรยานBMX Racing จะแข่งรุ่นการแข่งขันตามอายุและตามความสามารถ มีการเก็บคะแนนสะสมแต่ละสนาม การแข่งขันในหนึ่งรัน โดยปกติจะปล่อยตัวมากที่สุด 8 คัน แล้วหาผู้ชนะในแต่ละรันเข้ารอบต่อไป ขึ้นอยู่กับกติกาในการจัดแข่งขันในสนามนั้นๆ
ลักษณะของจักรยานBMX RACING ช่วงของรถจะยาวกว่า BMX ประเภทอื่น เพื่อช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสกับพื้นสนาม ทำให้ยึดเกาะสนามได้ดี ทำให้ง่ายต่อการกระโดดขึ้น ลง เนิน รูปร่างของตัวรถจะออกแนวทันสมัยรูปทรงออกแบบมาตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รูปทรงธรรมดาก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ทักษะของการขี่จักรยานประเภท Racing โดยหลักๆก็จะเน้นการกระโดดเนิน การเข้าแบงก์ และการเร่งความเร็ว สำหรับท่านที่ไม่เคยขี่ Racing มาก่อนก็ไม่ควรไปลองกระโดดเนินเองนะครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ บางคนที่เคยเห็นจากโทรทัศน์เห็นว่าง่ายๆ แต่ที่จริงแล้วก็อาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ควรจะศึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้ที่ขี่อยู่ก่อนแล้ว แล้วก่อนลงสนามทุกครั้งก็ควรจะใส่อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ชื่นชอบกีฬาความเร็วเป็นชีวิตจิตใจแล้วละก็ BMX ประเภทนี้น่าจะเหมาะกับคุณมากที่สุด
BMX FLATLAND การขี่จักรยานประเภทแฟลตแลนด์ เป็นการขี่จักรยานผาดโผนบนพื้นราบ โดยเน้นการทรงตัวและการเล่นท่าบนจักรยาน เสน่ห์ของการขี่ประเภทนี้อยู่ที่ความต่อเนื่องในการเล่นท่า โดยจะเล่นท่าหนึ่งแล้วจะไปต่ออีกท่าหนึ่งโดยที่เท้าไม่สัมผัสพื้น BMX FLATLAND ได้เข้ามาในบ้านเราเมื่อประมาณ 10กว่าปีที่แล้ว และยังคงเป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้ BMX FLATLAND เป็นกีฬาเอ็กส์ตรีมที่มีความเสี่ยงไม่มาก สามารถที่จะเล่นได้ทุกวัย จะมีเล่นกันเป็นกลุ่มๆตามสวนสาธารณะ ตามลานจอดรถกว้างๆ จะกระจายกันอยู่ในทุกๆจังหวัด โดยจะมีการจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
การ แข่งขันประเภทแฟลตแลนด์จะเป็นการตัดสินจากการให้คะแนน การแข่งก็จะคล้ายๆกับยิมนาสติกลีลา แต่จะเป็นลีลาบนจักรยานBMX โดยมีการแบ่งรุ่นการแข่งขันออกเป็นหลายรุ่นตามระดับฝีมือ ลักษณะการแข่งจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายและความต่อเนื่องของท่าโดยไม่ให้เท้าสัมผัสพื้น หากเท้าสัมผัสพื้นจะถูกหักคะแนนตามความเหมาะสม การแข่งขันอีกแบบหนึ่งคือการแข่งขันแบบตัวต่อตัว ( Battle) คือการออกมาประชันท่ากันแบบตัวต่อตัว หากยังนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงการชกมวย แต่จะใช้การเล่นท่าประชันกัน ซึ่งจะแข่งขัน 3 ยก โดยนักกีฬาจะผลัดกันออกมาแสดงท่าผาดโผน ใน 1 ยกจะเล่นท่าผาดโผนได้คนละหนึ่งชุด (ไม่ได้กำหนดเวลาและความยาวของท่าต่อเนื่องส่วนใหญ่ จะไม่เล่นท่าต่อเนื่องกันยาวมากนักเพื่อป้องกันความผิดพลาด) เมื่อครบ 3 ยก กรรมการจะตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะไป และยังมีการจัดแข่งแยกย่อยออกไปอีกเพื่อให้การจัดแข่งขันนั้นมีความน่าสนใจ และสนุกสนานมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การแข่ง Best Trick คือการแข่งว่าท่าของใครยากและเจ๋งที่สุดเป็นผู้ชนะ การแข่งขันว่าใครเล่นท่าต่อเนื่องได้มากที่สุด และการแข่งขันว่าใครเล่นท่าได้นานที่สุด เป็นต้น
ลักษณะของ จักรยาน BMX FLATLAND ช่วงของตัวรถจักรยานประเภทนี้จะสั้นกว่ารถประเภทอื่นๆ เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเล่นท่าผาดโผน โครงของรถแฟลตแลนด์จะออกแบบมาให้สะดวกในการเล่นท่าและมีน้ำหนักเบา รูปทรงจะโค้งบ้างเว้าบ้าง ชิ้นส่วนต่างๆก็จะแตกต่างกันกับประเภทอื่นๆ บางท่านที่ยังไม่เคยรู้จักกับBMX ผาดโผนอาจจะยังแยกไม่ออก มองผิวผืนก็จะดูเหมือนๆกันและอาจจะทำให้ท่านเลือกใช้รถผิดประเภทได้ ซึ่งจะกล่าวในบทต่อไป
ทักษะของการขี่จักรยาน BMX FLATLAND โดยหลักๆเลยก็จะเน้นการทรงตัวบนรถจักยานที่เคลื่อนไปเพียงล้อเดียว โดยเท้าของเราจะยื่นอยู่บนที่พักเท้า ( Peg) ที่อยู่ตรงแกนล้อทั้งล้อหน้าและหลัง ทักษะการใช้เท้าไถล้อเพื่อให้รถได้เคลื่อนที่ไป และทักษะการต่อเนื่องของแต่ละท่า การขี่จักรยาน BMX FLATLAND จำเป็นต้องใช้สมาธิ ความพยายาม และความอดทนสักนิดหนึ่งเพราะการฝึกหัดในแต่ละท่าอาจะจะต้องใช้เวลามากพอดู บางท่าอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ แต่บางท่าก็อาจใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความขยันฝึกซ้อมและความอดทน ถ้าหากคุณเป็นคนใจร้อนแล้วละก็ ลองหันมาหัดเล่นจักรยาน BMX FLATLAND ดู มันอาจจะทำให้คุณเป็นคนใจเย็นและมีสมาธิมากขึ้นก็ได้
BMX STREET การขี่จักรยานประเภทสตรีต เป็นการขี่จักรยานผาดโผน โดยอาศัยอุปกรณ์ในการเล่น จะเล่นท่าผาดโผนต่างจากประเภทแฟลตแลนด์ ซึ่งผู้เล่นจะขี่ออกไปเล่นกันตามท้องถนน หรือสวนสาธารณะ อุปกรณ์ที่ใช้เล่นก็มีอยู่ตามท้องถนน เช่น ม้านั้ง ราวบันได ราวเหล็ก ริมฟุตบาท และเนินลาดชันต่างๆเป็นต้น แล้วขี่เล่นท่าผาดโผน ยกล้อ หมุนตัว หรือ ไถลกับราวเหล็ก ลักษณะของจักรยาน BMX STREET ช่วงของรถจักรยานประเภทนี้จะยาวกว่าของประเภทแฟลตแลนด์เล็กน้อย และรูปทรงจะไม่แปลกเหมือนรถจักยานแฟลตแลนด์
ก็เพราะสตรีตไม่ได้ใช้สำหรับ เล่นท่าบนพื้นราบ รูปทรงจึงไม่ออกแบบมาสำหรับเล่นท่าแต่จะเน้นไปในการขี่ และกระโดดซะส่วนใหญ่ ชิ้นส่วนต่างๆ ก็จะแตกต่างกันด้วย
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยาน BMX STREET ที่เน้นๆเลยก็คือ การกระโดด ( Bunny Hop ) การยกล้อหน้า (Manual ) และการไถลบนราว ( Grind) และก็ยังมีท่าที่พลิกแพลงอีกมากมาย สำหรับจักรยาน BMX STREET จะต้องใช้ความกล้าพอควรเพราะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างสูง ผู้เล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง และเมื่อคุณเล่นท่าพื้นฐานของประเภทนี้ได้จนเป็นหมดแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ใจคุณแล้วละว่า “กล้าพอหรือเปล่า”ที่จะเล่นท่าผาดโผนกับอุปกรณ์บนท้องถนนเหล่านั้น
BMX PARK เป็นการขี่แบบเดียวกับประเภทสตรีต โดยเล่นกับอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นในรูปแบบสนาม SKATE PARK ซึ่งพัฒนาอุปกรณ์ในการเล่นมาจากอุปกรณ์บนท้องถนน ให้ได้มาตรฐานและมีความน่าเล่นมากยิ่งขึ้นโดยอุปกรณ์ในสนามจะถูกออกแบบและ จัดว่างในตำแหน่งที่เหมาะสม
ในการแข่งขันจักรยาน BMX PARK จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่าและความต่อเนื่องในการเล่นในแต่ละอุปกรณ์ ในการแข่งขัน นักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้โดยไม่ ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่ากับ อุปกรณ์ต่อไป และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นละครับ เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เล่นจากท้องถนน มาเป็นในสนามที่มีความเป็นมาตรฐานเท่านั้นเอง
ทักษะที่ใช้ขี่จักรยานประเภทนี้ก็ใช้ทักษะเดียวกับประเภทสตรีตนั้นละครับ แต่จะเพิ่มในส่วนของการเล่นท่ากับอุปกรณ์ได้หลากหลาย และท่ากลางอากาศ เพิ่มเข้ามา ถ้าหากมีพื้นฐาน BMX STREET อยู่แล้ว ก็สามารถเล่น BMX PARK ได้อย่างไม่ยากนัก
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
BMX DIRT คือการขี่จักรยานผาดโผนกระโดดเนินดินโดยจะเน้นเล่นท่ากลางอากาศเพียงอย่าง เดียว ลักษณะของสนามจะเป็นเนินดินคล้ายสนาม Motocoss มีเนินสำหรับกระโดดติดต่อกันหลายๆลูก ทำให้การกระโดดเล่นท่าผาดโผนกลางอากาศมีความต่อเนื่องกัน
การแข่งขันในประเภท BMX DIRT จะทำการปล่อยตัวนักกีฬาที่ละคน แล้วให้ทำการกระโดดเนินดินและเล่นท่ากลางอากาศ ให้ครบจำนวนเนินเดินที่กระโดด เนินดินก็จะมีจำนวนที่ไม่มากนัก นักกีฬาคนไหนที่เล่นท่าได้ยากและเจ๋งที่สุดโดยไม่มีขอผิดพลาดเลยก็จะเป็นผู้ ชนะไป
ลักษณะของจักรยาน ก็ใช้แบบเดียวกับ ประเภทสตรีต เพียงแค่เปลี่ยนยางมาใช้เป็นแบบที่มีดอกยางหนาๆ ที่ใช้สำหรับสนามดินแบบMotocoss Pegs (ที่พักเท้า) ออกแค่นั้นเอง
กีฬาประเภทนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ก่อนเล่นจึงควรใส่อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น หมวกกันน๊อค สนับเข่า สนับศอก และสนับแข้ง เป็นต้น
BMX VERT เป็นการขี่ผาดโผนโดยต้องใช้อุปกรณ์ในการเล่น โดยอุปกรณ์จะมีลักษณะเป็นท่อครึ่งวงกลม หรือ Half Pipe โดยผู้เล่นจะปั่นแล้วกระโดดขึ้นลงตามความโค้งของ Half Pipe แล้วเมื่อได้ยังหวะก็จะเล่นท่าผาดโผนกลางอากาศ
ในการแข่งขันจักรยาน BMX VERT จะทำการแข่งขันภายในเวลาที่กำหนดโดยมีกรรมการเป็นผู้ให้คะแนนซึ่งจะพิจารณา จากความยากง่ายของท่า ในการแข่งขันนักกีฬาสามารถเอาเท้าสัมผัสกับพื้นหรืออุปกรณ์ได้ โดยไม่ถูกหักคะแนนเพื่อเป็นการหยุดพักหรือจัดท่าทางในการออกตัวในการเล่นท่า กับอุปกรณ์ และสามารถใช้เท้าร่วมเล่นเป็นท่าผาดโผนได้อีกด้วย ส่วนลักษณะรถก็เป็นรถจักรยานประเภทสตรีตนั้นเอง
ทักษะของกีฬาประเภทนี้ จะใช้ทักษะค่อนข้างยากสักนิดหน่อย เนื่องด้วยอุปกรณ์มีความสูงมาก และมุมในการลอยตัวก็เป็นมุมที่ตั้งฉากกลับพื้นดิน จึงจำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการกระโดดลอยตัวกลับอุปกรณ์ที่เรียกว่า Quarter Pipe ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ก็จะอยู่ในสนาม SKATE PARK หรือคุณต้องมีทักษะในการเล่น BMX PARK อย่างค่อนข้างชำนาญแล้วนั้นเอง
BMX Racing เป็นการขี่แบบแข่งความเร็วในระยะสั้นๆ รูปแบบลักษณะของสนามแข่งจะออกแบบให้มีทางโค้งสลับกันไป และมีเนินสำหรับกระโดด เช่นเดียวกับสนามของ Motocoss จักรยาน BMX Racing ได้เอามาในบ้านเราเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นที่นิยมมาก แล้วก็ได้เงียบหาไปจากวงการเมื่อช่วง 10ปีที่ผ่านมา แต่ในปัจจุบันนี้ จักรยานBMX racing กำลังกลับมาเป็นที่นิยม เริ่มมีการจัดแข่งขันมากขึ้น คนที่เคยเลิกไป ก็เริ่มจะกลับมาปัดฝุ่นจักรยานคันเก่า หันมาปั่น BMX กันอีกครั้ง
ในการแข่งขันจักรยานBMX Racing จะแข่งรุ่นการแข่งขันตามอายุและตามความสามารถ มีการเก็บคะแนนสะสมแต่ละสนาม การแข่งขันในหนึ่งรัน โดยปกติจะปล่อยตัวมากที่สุด 8 คัน แล้วหาผู้ชนะในแต่ละรันเข้ารอบต่อไป ขึ้นอยู่กับกติกาในการจัดแข่งขันในสนามนั้นๆ
ลักษณะของจักรยานBMX RACING ช่วงของรถจะยาวกว่า BMX ประเภทอื่น เพื่อช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสกับพื้นสนาม ทำให้ยึดเกาะสนามได้ดี ทำให้ง่ายต่อการกระโดดขึ้น ลง เนิน รูปร่างของตัวรถจะออกแนวทันสมัยรูปทรงออกแบบมาตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่รูปทรงธรรมดาก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ทักษะของการขี่จักรยานประเภท Racing โดยหลักๆก็จะเน้นการกระโดดเนิน การเข้าแบงก์ และการเร่งความเร็ว สำหรับท่านที่ไม่เคยขี่ Racing มาก่อนก็ไม่ควรไปลองกระโดดเนินเองนะครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ บางคนที่เคยเห็นจากโทรทัศน์เห็นว่าง่ายๆ แต่ที่จริงแล้วก็อาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ควรจะศึกษาหรือขอคำแนะนำจากผู้ที่ขี่อยู่ก่อนแล้ว แล้วก่อนลงสนามทุกครั้งก็ควรจะใส่อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะครับ
สำหรับท่านที่ชื่นชอบกีฬาความเร็วเป็นชีวิตจิตใจแล้วละก็ BMX ประเภทนี้น่าจะเหมาะกับคุณมากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น